Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 30

AIYA แชตบอท เพื่อ SMEs – ค้าออนไลน์ พันธมิตรระดับโลก

AIYA แชตบอท เพื่อ SMEs – ค้าออนไลน์ พันธมิตรระดับโลก

AIYA (ไอย่า) สตาร์ตอัพ สร้าง ‘แชทบอท’ เพื่อนคู่กายร้านค้าออนไลน์
ชี้จุดเด่น เป็น MarTech บริหารจัดการลูกค้าให้ประสิทธิภาพสูง ถามตอบทันที 24 ชั่วโมง ช่วยขาย-ขยายตลาด สร้างการรับรู้ ครบจบที่เดียว
มีสเกลที่รองรับคนได้หลักล้าน แค่ผู้ใช้เรียนรู้ใช้เครื่องมือ ก็ตอบสนองงานขายได้อย่างคล่องตัว

ในยุคที่เรามี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาเป็นตัวช่วย ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI ค่อยๆ เข้ามาแทนที่คนจริงๆ ชัดเจนที่ งานค้าขายออนไลน์ งานซึ่งมีการบริการไม่ได้จำกัดแค่ 8 ชั่วโมงทำงาน แต่คือให้บริการเต็ม 24 ชั่วโมงไปแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาให้ร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ เลือกใช้ ‘แชทบอท’ (Chatbot) เพื่อมาเป็นตัวช่วยหลายสิ่งอย่าง โดยเฉพาะการตอบบางคำถาม ที่สามารถป้อนข้อมูลไว้ได้ เนื่องจากบางคน อาจต้องการทราบ แค่ราคา หรือบางคนอาจต้องการรู้ว่าใช้ยังไง ซึ่งถ้าเป็นประสิทธิภาพเชิงลึก ก็อาจป้อนข้อมูล AI ว่าจะเร่งให้ข้อมูล เพิ่มเติมในภายหลัง หรือไม่เกินกี่ชั่วโมง เป็นต้น โดยเราในฐานะลูกค้า อาจเห็นแค่การถามตอบ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราสวมบทบาทเข้าไปเป็นคนค้าออนไลน์ และใช้โปรแกรมแชทบอทนี้บ้าง เราจะเห็น ‘ความสะดวก’ ที่ช่วยให้ทุกๆ ขั้นตอนของการค้าขาย หรือการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์กรกับลูกค้า เป็นไปได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ 

เห็นได้จาก แพลตฟอร์ม AIYA (ไอย่า) ซึ่งประกาศตัว ว่าเป็น “A.I. เพื่อธุรกิจของคุณ #1 อัจฉริยะ ทำงานไว

ตอบโจทย์ทุกธุรกิจ ที่ต้องการลดคน จัดเก็บข้อมูลเป็นระบบ บริหารลูกค้าออนไลน์ได้จากหลายช่องทาง Social Commerce” ชู 3 จุดเด่น ในการเป็น ผู้ช่วยดูแลลูกค้าให้คุณมีเวลาว่างมากขึ้น เพื่อช่วยบริหารจัดการธุรกิจออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน จากการที่ AIYA มีเทคโนโลยีล้ำสมัย มีความเสถียรและยืดหยุ่น และรวมถึง การบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด

อัจฉริยะ ดาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีจีเนียส จำกัด (Mergenius) และผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ AIYA เผย AIYA เป็นสตาร์ตอัพ ให้บริการซอฟต์แวร์ ที่เป็น ‘ระบบจัดการเกี่ยวกับข้อมูลของลูกค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่ใช้งานด้วยแชตบอต’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า เป็นแพลตฟอร์มแชทบอต (AI Chatbot) สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีฐานลูกค้าในเฟซบุ๊ก (Facebook) และไลน์ (Line) รวมถึงกลุ่มลูกค้าองค์กร AIYA จึงเปรียบเสมือนเพื่อนคู่กายร้านค้าออนไลน์ ทำให้สามารถจัดการบริหารลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยทันทีที่มีลูกค้าทักแชทเข้ามาจะมีระบบอัตโนมัติ ตอบลูกค้าทันที ซึ่งระบบตัวนี้ สามารถสอนได้ทุกภาษา ทำงานได้ 24 ชั่วโมง มีสเกลที่รองรับคนได้หลักล้านคน ผู้ใช้แค่พัฒนาเรียนรู้เรื่องการใช้เครื่องมือเท่านั้น

ทั้งนี้ ถ้าจะรู้จักว่า AIYA ทำหน้าที่อะไรบ้าง? ก็กล่าวได้ว่า AIYA เป็นผู้ช่วยธุรกิจ ที่เปรียบเสมือนการมีเครื่องมือ โปรแกรมบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management : CRM) หรือคือ การมีทีมนักขายของบริษัทไว้ดูแลลูกค้า เป็นกลยุทธ์การบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับลูกค้าแบบหนึ่ง ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นผลดีต่อผู้ประกอบการในการบริหารจัดการธุรกิจ และช่วยเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี เพราะระบบ CRM อัตโนมัตินั้น สามารถดูแลลูกค้าได้มากกว่า 1 ล้านคน

AIYA ช่วยเรียกลูกค้าด้วยหรือ? 

ทั้งนี้ นอกจาก AI Chatbot จะทำหน้าที่บริหารลูกค้าสัมพันธ์แล้ว AIYA ยังส่ง ตัวช่วยเรียกลูกค้าเข้าหน้าร้าน ให้ผู้ประกอบการ ผ่าน LINE ด้วย ‘AiBeacon’ อีกด้วย โดย AiBeacon ช่วยอะไรบ้าง?

  1. ใช้ LINE Beacon Banner ไม่เสียค่าโฆษณา

โดย Banner โฆษณาที่แสดงผลในหน้า Smart Chat ของ LINE สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เป็นเพื่อนกับ LINE Offical Account สามารถคลิ๊ก เพิ่มเพื่อน ได้ทันที ไม่ต้องจ่ายค่า Gain Friend Ads

  1. ไม่เสียค่าส่งข้อความด้วย Beacon Message

ส่งข้อความหาลูกค้าได้อัตโนมัติผ่าน LINE Official Account ของร้านค้าเอง แบบไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อลูกค้าอยู่ในรัศมีสัญญาณ 25 เมตร

  1. Re-target Message ด้วย Location-based Marketing

เพิ่มยอดขาย ด้วยการ Broadcast ไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่เคยมาใช้บริการที่หน้าร้าน ตามช่วงวันเวลา เพื่อกระตุ้นการมาใช้บริการซ้ำ ลดต้นทุนการโฆษณา

แพลตฟอร์มบริการจัดการ LINE Beacon ยังสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 1,000 ตัว จุดนี้จึงทำให้ผู้ประกอบการใช้ได้หลายสาขา แบ่งโซน ดูสถิติเชิงลึก ทั้งยังตั้งข้อความ Beacon Message ได้อย่างอิสระด้วย เรียกได้ว่า เป็นตัวช่วยคนค้าขายได้อย่างครบวงจร โดยสามารถช่วย นับจำนวนและความหนาแน่นของลูกค้าที่เข้าใช้บริการ มีระบบส่งคูปองโปรโมชั่นเข้า LINE ลูกค้าทันที เมื่อเดินผ่าน ครอบคลุมรัศมี 25 เมตร ที่สำคัญ ยังรองรับการทำงานหลายสาขา ดูสถิติแยกรายสาขาได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ ความสะดวกสำหรับการก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างอิสระ หลังใช้ตัวช่วย AIYA มาช่วยบริหารจัดการ

ถือได้ว่า เป็น MarTech (Marketing Technology) คนสำคัญคนหนึ่งของวงการ หากสืบสาวความเป็นมาของ ‘อัจฉริยะ’ ก็เรียกได้ว่า เป็นคนอัจฉริยะสมชื่อ … ‘อัจฉริยะ’ ประกาศตัวครั้งแรก คือบอกว่า อยากเปิดบริษัทตัวเองทันทีที่เรียนจบ (สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) แต่ด้วยเพราะมีคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา ว่าให้ลองไปเรียนรู้ระบบจากที่อื่นก่อน แล้วค่อยมาทำของตัวเอง จึงเดินตามคำแนะนำ กระทั่งปี 2007 (2550) ที่เริ่มทำบริษัท MegaSofts ทำผลงานชื่อว่า MegaDict เป็นดิกชันนารี ‘ที่ชี้’ แล้วแปลได้ ผลงานนี้ชนะเลิศโครงการ Thailand ICT Awards 2013 ได้ยอดขายเยอะมาก แต่วงจรสินค้าอยู่ได้แค่ 2 – 3 ปี ทั้งนี้ แม้ความตั้งใจสร้างโซลูชันมากมายให้วงการศึกษา สุดท้ายแล้ว ในปี 2560 ก็ถึงเวลาของ AIYA

อัจฉริยะ เริ่มก่อตั้ง บริษัท มีจีเนียส จำกัด ในปี 2560 สร้างแพลตฟอร์ม AIYA ขึ้น ซึ่งก็ถือว่า เป็นสตาร์ตอัพที่ โดดเด่นในวงการ A.I. MarTech คนหนึ่ง โดยสร้างประสบการณ์ลูกค้า O2O Marketing เจ้าแรกในประเทศไทย พร้อมมพันธมิตรระดับโลกอย่าง Meta, LINE, และ AWS พัฒนาโซลูชันด้วยมาตรฐาน ISO29110 และการจัดการข้อมูลที่ล้ำสมัยและจัดการด้วย A.I. 

มีผลิตภัณฑ์ และการบริการประกอบด้วย 

1.ธุรกิจ Software as a Service ด้าน Marketing Technology

2.ธุรกิจ Hardware as a Service อุปกรณ์ AiBeacon BLE Proximity Marketing

3.ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านการตลาดและพัฒนาซอฟต์แวร์

ทำให้ในปัจจุบัน พัฒนาการบริการไปแล้ว 5 product ประกอบด้วย

  1. AiBeacon: O2O Proximity Marketing
  2. AiBots: แชทบอทช่วยให้ข้อมูลสินค้าบริการ
  3. AiChat: Chat Center ปิดการขายด้วย Chat Commerce
  4. ACRM: ระบบสมาชิกลูกค้าและช่วยสร้าง Brand Engagement
  5. AiFeedback: วิเคราะห์ Sentimental และ Category Distribution

นี่แหละ MarTech ที่ตอบโจทย์ ทั้งการสร้าง awareness ให้กับลูกค้าของตัวเอง และรวมถึการให้ช่องทางการตลาด เพราะ AIYA สร้างทุกอย่างไว้รองรับหมดแล้ว อนาคตหากลู่วิ่งใหม่ ก็เชื่อว่า AIYA จะรีบ add เข้าไปตอบสนองการใช้งานอย่างรวดเร็วแน่นอน เพราะ ‘อัจฉริยะ’ เขาคือ นักพัฒนา MarTech ‘ตัวจริง’

ช่องทางการติดต่อ 

AIYA แชตบอท: https://web.aiya.ai/

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 24

Davinz A.I. ปั้นนางแบบ-อินฟลูฯ ดิจิทัล ตัวช่วยวงการโฆษณา ง่ายขึ้น!!!

Davinz A.I. ปั้นนางแบบ-อินฟลูฯ ดิจิทัล ตัวช่วยวงการโฆษณา ง่ายขึ้น!!!

สตาร์ตอัปไทย Davinz A.I. พัฒนาแพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย เอ.ไอ. ช่วยผลิตสื่อโฆษณาง่าย
ชูจุดเด่น ทำงานไวไม่พอ ยังช่วยลดต้นทุนมหาศาล ได้ผลงานเริ่ด
ตอกย้ำ การเป็น AI ตัวช่วยสำคัญให้หลากหลายสาขาอาชีพ

และแล้ว ‘นางแบบดิจิทัล!!!’ ก็มา … แล้วมาในรูปแบบไหน??? 

เน็กซ์ อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) หนึ่งใน Deep Tech Startup Thailand มีคำตอบ !!! 

เมื่อโลกอยู่ในยุคดิจิทัล อะไรก็เกิดขึ้นได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเรามีคนเก่งในประเทศ อย่าง ‘อาคมินทร์ ทองสุข’ CEO/CTO บริษัท เน็กซ์ อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ที่ขณะนี้เขาได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Davinz A.I. (ดาวินชี เอ.ไอ.) หรือคือ แพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย เอ.ไอ. มาบริการคนกลุ่มใหญ่ 4 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งก็คือ 1. Creative Designer 2. สถาปนิก 3. Fashion Designer 4. นักสร้างโฆษณา หลังเทคโนโลยีที่เขาสร้างขึ้น ทำให้พวกเขาเหล่านี้ “ทำงานง่ายขึ้นมาก ทั้งยังช่วยลดต้นทุน ลดเวลาได้มหาศาล”

นี่คือ ยุคที่เติบโตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล หลายภาคส่วนนำ AI เข้ามาเป็นตัวช่วย เพียงแต่เราทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง เพื่อจะ ‘ใช้งาน AI ให้เป็น’ เพราะเมื่อ ‘รู้แล้ว’ งานและหน้าที่ยากๆ หลายสิ่งอย่างก็จะง่ายขึ้น!!!

รู้จัก Davinz A.I. ของ ‘อาคมินทร์’

อาคมินทร์ ให้ข้อมูลถึง Davinz A.I. ที่พัฒนาขึ้นนี้ว่า เป็น บริการสร้างรูปภาพ จากคำอธิบาย (Prompt) หรือจากข้อความ (text-to-image) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการแปลงข้อมูลที่ได้รับจากคำอธิบาย (Guideline) ของผู้ใช้งาน เป็นภาพที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่ระบุ บริการนี้ใช้โมเดล AI ที่ถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำต่างๆ รวมถึงบริบททางภาพ และนำมาประมวลผลเพื่อสร้างภาพที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ผลลัพธ์ของคำอธิบาย จะทำให้คุณได้รูปภาพที่อยากได้-ที่เหมาะกับดีเทลงานนั้นๆ เป็นอย่างดี โดยทุกคนสามารถใช้งานได้ง่ายๆ ผ่าน Website และ Chat App 

ด้วยเหตุนี้ Davinz A.I. จึงเป็นตัวช่วยทุกคน จะเป็น นักเรียน-นักศึกษา เป็นคนวงการโฆษณา หรือคนทำมาค้าขายออนไลน์ ใดๆ ก็แล้วแต่ในยุคดิจิทัลนี้ คุณก็สามารถนำ Davinz A.I. แพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย เอ.ไอ. นี้ ไปใช้กับงานของคุณได้หลากหลาย โดยที่ประสิทธิภาพของ Davinz A.I. นี้ จะสามารถช่วยคุณได้ … ที่โดดเด่นที่สุด คือ… 

  1. สร้างภาพ Virtual Influencer ที่สมจริง และคุม Consistency ได้ง่าย 
  • Davinz A.I. Platform สามารถสร้างภาพนางแบบ อินฟลูเอนเซอร์ ได้อย่างสมจริง จนแยกไม่ออกระหว่างภาพที่ถูก A.I. สร้างขึ้นมากับมนุษย์จริง 
  • สามารถจัดท่าทางและคุม Consistency ระหว่างภาพได้ง่าย 
  • เหมาะกับการใช้โปรโมทสินค้าหรือบริการ 
  1. การรองรับภาษาไทย Davinz A.I. Platform รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบทั้งภาษาอย่างเป็นทางการและภาษาธรรมชาติที่ใช้พูด ทำให้ผู้ใช้งานที่เป็นคนไทย

ขยายความประโยชน์ Davinz A.I. นอกจากสองสิ่งดังกล่าวแล้ว เรายังสามารถใช้ Davinz A.I. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในยุคนี้ ได้อีก โดยยังเป็นตัวช่วย สิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ 

  1. การเข้าถึงเทคโนโลยี AI อย่างง่ายดาย
  • Davinz A.I. เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบมืออาชีพ นักการตลาด หรือแม้กระทั่งบุคคลทั่วไป ได้เข้าถึงเทคโนโลยี AI ที่สามารถสร้างภาพจากคำอธิบายได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการออกแบบภาพ
  1. ตอบสนองความต้องการของตลาดคอนเทนต์ออนไลน์
  • การสร้างภาพด้วย AI ช่วยให้ผู้ใช้สร้างภาพเพื่อใช้ในคอนเทนต์ออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่การผลิตคอนเทนต์ต้องการความเร็วและความหลากหลาย การสร้างภาพแบบทันทีจากคำอธิบายสามารถช่วยให้ธุรกิจหรือผู้สร้างคอนเทนต์แข่งขันได้ทันในตลาด
  1. ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างภาพ
  • Davinz A.I. ช่วยลดต้นทุนในการจ้างนักออกแบบหรือช่างภาพ และยังช่วยประหยัดเวลาในการสร้างภาพที่ต้องการให้สอดคล้องกับความคิดสร้างสรรค์หรือแผนการตลาด
  1. ความสามารถในการปรับแต่งสูง
  • แพลตฟอร์มสามารถสร้างภาพที่มีความละเอียดและความซับซ้อนตามคำอธิบายของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพตามความต้องการเฉพาะได้ โดยไม่ต้องมีทักษะการออกแบบขั้นสูง
  1. การเติบโตของการใช้ AI ในธุรกิจหลากหลายด้าน
  • Davinz A.I. ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การตลาด การโฆษณา การพัฒนาเกม และงานสร้างสรรค์อื่นๆ ด้วยการใช้ AI ในการสร้างสรรค์ภาพอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  1. รองรับการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม
  • Davinz A.I. สามารถใช้ร่วมกับแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการนำภาพไปใช้งานในหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์มการตลาดต่างๆ
  1. การใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต้องการนวัตกรรมใหม่
  • อุตสาหกรรมที่ต้องการนวัตกรรม เช่น การพัฒนาเกม การโฆษณา หรืออุตสาหกรรมบันเทิง สามารถนำ Davinz A.I. ไปใช้งานเพื่อสร้างสรรค์ภาพประกอบต่างๆ ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอการสร้างภาพจากมนุษย์นานๆ
  1. การใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ
  • Davinz A.I. สามารถใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี AR, VR หรือแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภาพสามมิติ ซึ่งเป็นจุดแข็งในยุคที่การใช้งานเทคโนโลยีเสมือนจริงกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้ คือประสิทธิภาพสำคัญ ที่ Davinz A.I. สร้างสรรค์ขึ้นมาตอบโจทย์ในยุคที่มนุษย์ต้องการความไว สำคัญกว่านั้น คือ ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ที่ Davinz A.I. ช่วยปิดจบไปหลายด้าน ทำให้ทุกคนสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ อย่างไม่รู้จบ !!!

แล้วตอนนี้ ‘ความนิยม’ เป็นอย่างไรบ้าง ??

ต้องบอกว่า เมื่อผู้คนเริ่มรู้จัก Davinz A.I. ก็มีกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยม อาคมินทร์ จึงเล่าในส่วนของการพัฒนา Davinz A.I. ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ใน Phase พัฒนาตัวระบบที่จะเน้นการสร้างรูป Virtual Influencer, Digital Human (อินฟลู – นางแบบดิจิตอล ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง) ที่มีความสมจริงเหมือนภาพถ่าย (Ultra Realism) โดยที่ผู้ใช้งานสามารถกำหนดท่าทางของนางแบบ และความต่อเนื่องของการสร้างภาพหลายภาพได้ง่ายๆ ใช้เวลาน้อย เหมาะกับการนำไปใช้ในงานโปรโมทสินค้าและบริการ และรวมถึงงานการศึกษาและการวิจัย โดยไม่ต้องใช้นางแบบที่เป็นคนจริงที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง และช่วยลดเวลาและลดต้นทุนการผลิตสื่อโฆษณา !!! ถือเป็นมิติใหม่ที่ใครๆ ก็นำไปใช้กับงานของตัวเองได้ รวมถึงองค์กร ก็สามารถนำไปพัฒนาระบบ และบุคลากร ได้ 

จะว่าไป เน็กซ์ อินโนเวชั่น ประเทศไทย โดย ‘อาคมินทร์’ ผู้นี้ เขาวางตัวเองชัดเจน ในการเป็น Tech Transformation Company ของคนไทย ที่จะเข้าไปช่วยให้องค์กรณ์สามารถนำ Innovation และ Technology เข้ามาปรับใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม Productivity, Efficiency, Profit, ลด Cost ไปจนถึงการพัฒนาบริการหรือหน่วยธุรกิจใหม่ของบริษัท โดยที่บริการของเน็กซ์ อินโนเวชั่นแบ่งออกเป็น 4 แกนหลักๆ ได้แก่ 

  1. End-to-End Consulting & Software Development Services – ประกอบไปด้วย Consulting Service บริการให้คำปรึกษาแบบเต็มรูปแบบ เพื่อทำให้ไอเดียทางธุรกิจของลูกค้าเกิดขึ้นได้จริง – Design Service ทั้งในส่วนของ UX UI Design และ System Design ที่พร้อมสำหรับการนำไปพัฒนา – Engineering Service พัฒนา Platform ทั้ง Web App / Mobile App / APIs / Blockchain / A.I. โดยใช้ Technology ที่ดีและเหมาะสมที่สุด – และ Maintenance Service ที่รับดูแลระบบให้ต่อเนื่องหลังการพัฒนา Platform เสร็จสิ้นและเริ่มเปิดให้บริการจริง 
  2. Cloud Service – เราเป็น Local Distributor ในไทยให้กับ AWS (Amazon Web Services) Cloud Providers อันดับ 1 ของโลก ครอบคลุม Cloud Service ทุกรูปแบบและรองรับการออกบิลเป็นเงินบาท 
  3. Ecommerce & Retails SAAS Solutions – ให้บริการ ระบบ Linko POS ที่เป็นระบบจัดการร้านค้าและแฟรนไชส์ ที่มี Feature เทียบเท่า ERP ในราคาที่ SME เข้าถึงได้พร้อมระบบแสกนสั่งอาหารผ่าน QR Code และระบบ CRM 
  4. A.I. & Deep Tech SAAS Solutions

– ให้บริการระบบ Veno A.I. ที่ใช้ A- ระบบ Veno A.I. ที่ใช้ A.I. ในการนับ Impression (จำนวนคนที่เห็นโฆษณา) / Reach วิเคราะห์ Segmentation / Demographic ของป้ายโฆษณานอกบ้านเช่น Billboard ขนาดใหญ่ที่เป็นไวนิลและจอดิจิตอลตามทางด่วน, สี่แยก, หรือป้ายที่ติดอยู่ตามอาคาร.I. ในการนับ Impression (จำนวนคนที่เห็นโฆษณา) / Reach วิเคราะห์ Segmentation / Demographic ของป้ายโฆษณานอกบ้านเช่น Billboard ขนาดใหญ่ที่เป็นไวนิลและจอดิจิตอลตามทางด่วน, สี่แยก, หรือป้ายที่ติดอยู่ตามอาคาร 

– และระบบใหม่ล่าสุด คือ Davinz A.I. แพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย A.I. (ที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น) ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ในโครงการ Open Innovation 

Davinz A.I. Platform นี้ อาคมินทร์ position วางตัวเองเป็น Global Platform ตั้งแต่ Day 1 โดยสร้างระบบที่รองรับทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ซึ่งตลาดเป้าหมายแรกตั้งเป้าเริ่มเปิดใช้งานจาก ‘ตลาดในประเทศ’ (Domestic Market) ก่อนเป็นที่แรก เพื่อสร้างฐาน User ให้แข็งแกร่งก่อนจำนวนหนึ่ง และจะขยายสู่ Global market ต่อไป ซึ่ง Domestic Market Target จะเป็นคนไทย ทั้งเพศชายและหญิงที่เข้าใจภาษาไทยและทำอาชีพในสายงาน Creative ได้แก่ 1. Creative Designer 2. สถาปนิก 3. Fashion Designer 4. นักสร้างโฆษณา ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มนี้จากผลสำรวจของหน่วยงานรัฐ ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ได้ทำผลสำรวจเอาไว้ว่า มีจำนวนรวมกันทั้งสิ้นกว่า 141,960 กระจายตัวอยู่ในบริษัท Agency และแบรนด์สินค้าต่างๆ ภายในประเทศ เน็กซ์ อินโนเวชั่น จึงจะเน้นการขาย License ให้กับบริษัท และแบรนด์ที่สนใจใช้งานมากขึ้นต่อไป

ถือได้ว่า เป็นอีก 1 สตาร์ตอัปแห่งโอกาส เพราะ Generative A.I. เป็น Technology ที่ค่อนข้างใหม่ที่มีกระแสการตอบรับและการเติบโตที่สูงมากตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยทั่วโลกมีจำนวนผู้ใช้งาน Image Genenration A.I. Tool กว่า 14.6 ล้านคน คิดเป็นการเติบโตกว่า 14,000% ในระยะเวลาอันสั้น ขณะที่ในประเทศไทยเอง ก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านการผลิตงานสื่อและโฆษณาในระดับโลก และมีบุคลากรและ Creator ที่มีความสามารถสูงอยู่ในอุตสาหกรรมนี้แล้วกว่า 140,000 คน และยังจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในทุกปี

นี่แหละสตาร์ตอัป Davinz A.I. Platform คนเก่งของไทยที่ใครๆ ก็เห็นโอกาสการเติบโตสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว อีกหนึ่งความหวัง สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัท Tech ของคนไทย ที่สามารถก้าวขึ้นไปแข่งขันในเวทีระดับโลกได้ จากการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยสนองงานทุกคนบนโลกใบนี้ ได้ง่ายๆ และมีประสิทธิภาพสูง ลุ้นอีกทีว่า จะใช่ ‘ยูนิคอร์นตัวใหม่ (ตัวที่ 4)’ ของประเทศไทย หรือไม่??

ช่องทางการติดต่อ 

NEXT INNOVATION: https://nextinnovation.io/

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 22

EVERFRESH นวัตกรรม ‘ยืดอายุ’ ช่วยผลไม้ส่งออกชะลอเน่าเสีย

EVERFRESH นวัตกรรม ‘ยืดอายุ’ ช่วยผลไม้ส่งออกชะลอเน่าเสีย

ผู้ส่งออกผลไม้ หมดห่วง หลังสตาร์ตอัพสร้างผลิตภัณฑ์ EVERFRESH ช่วยรักษาคุณค่าโภชนาการ และคุณภาพผลไม้ ระหว่างขนส่ง ยืดอายุอย่างน้อย 2 เท่า
ชี้ผลทดสอบ ‘มะม่วงน้ำดอกไม้’ จากเดิมอายุ 7 วัน สภาพเริ่มเปลี่ยน แต่หลังเคลือบด้วย EVERFRESH อยู่ได้ 14 วัน
ตอกย้ำ การเป็นสารธรรมชาติ กลุ่มเปปไทด์ (โปรตีน) ปลอดภัยทั้งกับผู้บริโภค และการส่งออก

ผลไม้ไทย เป็นที่นิยมรับประทานของคนทั่วโลก แต่ผลไม้ชนิดไหนจะถูกส่งออกไปยังประเทศไหนได้ เป็นเรื่องที่มีหลายองค์ประกอบรวมอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของ ‘อายุผลไม้’ ที่จะอยู่รอดปลอดภัยในการเดินทางได้มากน้อยแค่ไหน? แบบว่า ไปถึงแล้วยังได้โชว์สวย ความน่ารับประทานยังมีสูง สีสันสดใส หรือมากสุดคือสุกพอดีกับการรับประทาน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ปลายทางของสินค้า ขายได้ราคาดี ตรงกันข้าม หากสุกก่อนการวางขาย นั่นเป็นความเสียหาย ที่จะเกิดอย่างใหญ่หลวงต่อผู้ส่งออก 

ยกตัวอย่าง ‘มะม่วงน้ำดอกไม้’ ซึ่งจัดว่าเป็นผลไม้ที่ใครก็ตาม หากได้มาลิ้มชิมรสเป็นต้องติดอกติดใจ กลับไปถึงบ้านตัวเองก็ยังอยากรับประทานอีก จะปลูกเองที่บ้านก็พอได้ถ้าเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศใกล้เคียงประเทศไทย แต่ถ้าจะกินให้อร่อยต้องมาที่ประเทศไทยนี่แหละ เพราะจะยังได้ฟินกับ ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ ซอฟต์พาวเวอร์สุดโด่งดังของประเทศไทย ส่วนชาวเมืองหนาวบอกเลย ว่า การปลูกนั้น ‘หมดสิทธิ์’ ดังนั้น มะม่วงน้ำดอกไม้ส่งออก จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจที่ต้องมองหา Solution และก็น่าดีใจ ที่ขณะนี้ ‘นวัตกรไทย’ หรือ สตาร์ตอัพ ด้าน Food Tech พัฒนาผลิตภัณฑ์ไบโอโมเลกุลเปปไทด์ สำหรับยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์อาหาร ขึ้นมาได้

ข่าวดีนี้ ดังสะพัดตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง สันติ นกยอด 1 ในทีมผู้คิดค้น และปัจจุบันเป็น CMO บริษัท ไซเฟอร์ อินโนเทค จำกัด ออกมาเผยถึงการพัฒนาสูตร EVERFRESH นวัตกรรมยืดอายุฯ นี้ว่า ถือเป็นผลิตภัณฑ์ยืดอายุชนิดใหม่ในท้องตลาด ที่นำสารธรรมชาติในกลุ่มเปปไทด์ (โปรตีน) ที่ได้จากแบคทีเรีย มาใช้ลดเชื้อจุลินทรีย์บนผิวเปลือกผลไม้ โดยให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์สูงกว่า ‘การล้างด้วยคลอรีน’ ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ถ้าหากสะสมในร่างกายจะเกิดอันตรายได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น EVERFRESH มีความปลอดภัย หากเทียบกับ ‘แว๊กซ์’ ซึ่งเป็นอีกชนิดที่ใช้เคลือบผลไม้ส่งออก กล่าวได้ว่า EVERFRESH มีความเป็น ‘สารธรรมชาติ’ มากกว่า ‘การเคลือบด้วยแว็กซ์’ (แม้แว็กซ์ใช้เคลือบผลไม้ในปัจจุบันมีทั้งแว็กซ์ที่ได้จากธรรมชาติและแว็กซ์ที่ได้จากสังเคราะห์ ก็ตาม) เหตุผลความปลอดภัยของ EVERFRESH เป็นเพราะการพัฒนาที่มาจากการผสมระหว่าง ‘สารชีวโมเลกุลต่างๆ’ ที่ล้วนเป็นสารที่รับประทานได้ และได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร ในผลิตภัณฑ์ยังมีการใช้สารชีวโมเลกุลต่างๆ ด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสม และมีการใช้ ‘กระบวนการเฉพาะ’ ในการผลิต ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูง ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ สาเหตุของอาหารเน่าเสีย ผลิตภัณฑ์อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้ฉีดพ่นลงในผักสด ผลไม้สด เพื่อยืดอายุการเก็บให้ยาวนานมากขึ้น หน้าที่ของเปปไทด์และสารชีวโมเลกุล ในการเคลือบผลไม้ ทั้งนี้ เมื่อใช้เปปไทด์และสารชีวมวลในการเคลือบผลไม้แล้ว ผลไม้จะได้ประโยชน์ 3 ด้าน 1. ลดการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวผลไม้ทำให้ดูน่ารับประทาน 2. ลดอัตราการเติบโตของจุลินทรีย์บนผิวเปลือกผลไม้ ทำให้โอกาสผลไม้เน่าเสียลดลง แม้จะมีรอยแผลเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างขนส่ง 3. รักษาคุณค่าทางโภชนาการและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ระหว่างการขนส่ง

จุดเด่นของ EVERFRESH
กล่าวได้ว่า EVERFRESH เป็นโมเลกุลทางชีวภาพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมี ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย EVERFRESH ถูกพัฒนาให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เพราะมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ และด้วยคุณลักษณะที่เป็น ‘น้ำ’ ทำให้สามารถปรับลักษณะการใช้ให้เหมาะกับผลไม้แต่ละชนิดใช้ได้ทั้งการจุ่ม (Dip) หรือการฉีดพ่น (Spray) ทำให้ใช้งานง่าย โดยอยู่ในรูปแบบของเหลว ทั้งยังให้ประสิทธิภาพสูงกว่าคลอรีนในปริมาตรที่เท่ากัน (ใช้กับผลไม้ได้มากกว่า 6 – 10 เท่า)

และนี่ก็คือ ประโยชน์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยเมื่อผลไม้สามารถคงลักษณะภายนอก คุณภาพ และคุณค่าทางโภชนาการได้นานขึ้น ผลที่ได้ คือ
– มีอายุการเก็บรักษานานขึ้น
-ขยายตลาดได้มากขึ้นเพราะสามารถส่งออกได้ไกลขึ้น
– ผลิตภัณฑ์มีเวลาวางจำหน่ายได้มากขึ้น (Shelf Life นานขึ้น)
– ลดปริมาณขยะที่จะเสียง่ายภายในครัวเรือน

โดยใช้ได้กับผลไม้เปลือกบางชนิดอื่น เช่น องุ่น และพืชผัก ในครัวของทุกบ้าน

EVERFRESH ได้ทดสอบกับมะม่วงน้ำดอกไม้ผลไม้ส่งออกเปลือกบางและเน่าเสียง่าย พบประสิทธิภาพในการยืดอายุมะม่วงได้อย่างน้อย 2 เท่า นี่จึงอาจทำให้ไทยเราส่งออกมะม่วงได้ไกลกว่าเดิม ก็อาจจะเป็นได้

EVERFRESH สร้างประโยชน์ให้ประเทศและผู้ส่งออกมากอย่างนี้ แน่นอนว่า นวัตกรรมนี้ก็เข้าตากรรมการ รับรางวัล “รองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัลสิ่งประดิษฐ์เยาวชนจากเวทีการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม Thailand New Gen Inventors Award: I-New Gen Award 2023 ระดับอุดมศึกษา กลุ่มการเกษตร” สร้างเกียรติประวัติที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง โดยมีผู้วิจัย เป็นนักศึกษาปริญญาตรี ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) นอกจาก สันติ นกยอด ที่เรากล่าวถึงในข้างต้นแล้ว ยังมีคณะผู้ร่วมจัดทำอีก 7 ท่าน ประกอบด้วย

นางสาวกานต์ญาณี ศรีแก้วฟ้าทอง, นางสาวธนวรรณ สังข์สุวรรณ, นางสาวสุธาทิพย์ เงินเจือ, นางสาวเบญญาภา เศรษฐวิบูลย์

นายกิตติพัฒน์ อินนะรายรัมย์, นายณัฐกฤษ ลาภแก้ว และนางสาวหทัยชนก บุญชู

ทั้งยังมีอาจารย์ที่ปรึกษา คือ ท่าน ผศ.ดร.นุจริน จงรุจา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)

อย่างไรก็ตาม เมื่อ EVERFRESH มาเป็นผลิตภัณฑ์ วางขายในท้องตลาดอย่างกว้างขวางแล้วนี้ ก็คาดการณ์ว่า จะช่วยสร้างประโยชน์ ทั้งกับธุรกิจส่งออก และทุกๆ ครัวเรือน ที่จะสามารถนำไปใช้ได้อย่างง่าย คาดการณ์ด้วยว่า จะลดมูลค่าความเสียหายให้กับผู้ส่งออกได้มาก สร้างเม็ดเงินกลับเข้าประเทศได้มากกว่าเดิม จากเดิมที่ต้องเสียไปกับการเน่าเสีย เพราะจากผลไม้ส่งออก จำนวนกว่า 100 ล้านตัน/ปี นั้น มีตัวเลขว่า มีการเน่าเสียระหว่างขนส่งประมาณ 30% ความสูญเสียนี้ จะน้อยลงกว่าเดิมมาก เมื่อผู้ส่งออกรู้จัก EVERFRESH  ดึงเม็ดเงินกลับเข้ากระเป๋าและประเทศเพิ่มขึ้น แม้สินค้าจะยังส่งออกเท่าเดิมก็ตาม

 

ปัจจุบัน ตลาดส่งออกมะม่วงสดที่สำคัญ อยู่ที่ มาเลเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน รัสเซีย ลาว และเมียนมา ส่วนที่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี จะมีการส่งออกเฉพาะมะม่วงกระป๋องเท่านั้น อนาคต ถ้าเราวิจัยและพัฒนาให้ยืดอายุได้นานกว่านี้ ไม่แน่ ฝั่งประเทศกลุ่มหลัง อาจไม่ต้องรับประทานเพียง ‘มะม่วงกระป๋อง’ อย่างเดียวอีกต่อไป

 

ช่องทางการติดต่อ Everfresh: คุณสันติ นกยอด บริษัท ไซเฟอร์ อินโนเทค จำกัด (Cypher innotech Co.,Ltd)

เบอร์ โทรศัพท์ 098-408 7985

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Readme_Me-1

Readme.Me เว็บไซต์ ‘คนรักเที่ยว’ โอกาสของ ‘บล็อกเกอร์’

Readme.Me เว็บไซต์ ‘คนรักเที่ยว’ โอกาสของ ‘บล็อกเกอร์’

Readme.Me (รี้ดมีดอทมี) แพลตฟอร์มบล็อกท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย โชว์จุดเด่น เป็นศูนย์รวมข้อมูล ‘ทุกที่เที่ยว’ ไว้ที่เดียวกัน
ถอดประสบการณ์ตรง จากบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวกว่า 5,000 คน
ชี้เป้า ให้ข้อมูลเชิงลึก-มีคุณค่า ช่วยสำรวจ-อัพเดทจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ช่วยวางแผนการท่องเที่ยว

ประเทศไทย มีความสวยงาม ด้วยมนต์เสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ มีศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม สถาปัตยกรรม ธรรมชาติ รวมถึงอาหารไทยให้ได้ดื่มด่ำมากมาย ประเทศไทยจึงเป็นหมุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ตั้งเป้าว่า ครั้งหนึ่งจะต้องมาเยือนประเทศไทยให้ได้ 

นี่จึงเป็นโอกาสให้ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสายเที่ยว อย่าง ‘ธนิต บดีศร’ CTO บริษัท รี้ดมีดอทมี (ประเทศไทย) จำกัด ผุดไอเดียสร้าง Readme.Me (รี้ดมีดอทมี) แพลตฟอร์มบล็อกท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ขึ้นในปี พ.ศ. 2558 เพื่อเอาใจขาเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ด้วยวัตถุประสงค์ ต้องการเป็นเว็บไซต์แรกให้ทุกคนคิดถึง ส่งประโยชน์ให้ผู้ใช้ให้มากที่สุด สร้างจุดเด่น เน้นจุดต่าง (กับเว็บไซต์อื่น) สร้างความครบจบที่เดียว ส่งต่อทุกข้อมูลเพื่อให้นักท่องเที่ยว สามารถท่องเที่ยวในสไตล์ที่เขาต้องการ และในงบประมาณที่พอใจ

นั่นจึงเป็นที่มาให้ เว็บไซต์ รี้ดมีดอทมี รวมทุกสถานที่เที่ยวไว้ที่เดียวกัน พร้อมนำเสนอประสบการณ์การเดินทางโดยตรงจากนักเขียน หรือ ‘บล็อกเกอร์’ (Blogger) กว่า 5,000 คน พร้อมบทวิจารณ์ ณ สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง มาให้พิจารณารอบด้าน เรียกได้ว่า บล็อกเกอร์แต่ละคน ช่วยส่งต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างแข็งขัน อันรวมถึง ‘ธนิต’ เองก็กล่าวได้ว่า เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากกว่า 18 ปี การมาก่อตั้ง Readme.me ยังรวบรวมทีมงานสายเที่ยวที่เข้าใจความต้องการของนักท่องเที่ยว ส่งต่อเรื่องเล่าผ่านตัวหนังสือและภาพสวยงาม เป็นอีกแรงดึงดูดที่สำคัญ ช่วยให้รี้ดมีดอทมี ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ

ด้วยทั้ง เจ้าของแพลตฟอร์ม และบล็อกเกอร์ ต่างเข้าใจความต้องการของนักท่องเทียว จึงร่วมกันถ่ายทอดข้อมูลได้กว้าง และลึก จนปัจจุบัน Readme.me เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จะเที่ยวเมื่อใดก็ search เข้ามาใน Readme.me ค้นหาแนวเที่ยวที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแนวเที่ยวหรูอยู่สบาย เที่ยวแอดเวนเจอร์ เที่ยวเชิงเกษตรเพื่อการเรียนรู้ เที่ยวกินผลไม้ หรือจะเที่ยวธรรมชาติ ทะเล น้ำตก ภูเขา เที่ยวอารยธรรม และอื่นๆ อีกมากมายถูกรวมไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งบล็อกเกอร์แต่ละสายเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่แท้จริงไว้เรียบร้อย

Readme.me โอกาสของบล็อกเกอร์อย่างไร?

ธนิต ยังเผยถึงโอกาสด้านรายได้ของบล็อกเกอร์ ด้วยว่า ตัวเองให้ความสำคัญกับบล็อกเกอร์มากๆ เพราะบล็อกเกอร์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของแพลตฟอร์ม Readme.me พวกเขามาร่วมกันเขียนบล็อกของตัวเองเพื่อแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ อย่างน่าติดตาม เป็นความชอบส่วนตัวที่สร้างมูลค่าได้ โดยภายหลัง Readme ผนึกกำลังกับ Tripster นำธุรกิจการท่องเที่ยวไปอยู่ใน Blockchain เกิดเป็นโปรเจกต์ Travel2Earn เที่ยวฟรีแถมได้เงิน จากการใช้ห้องพักในโรงแรมที่ว่างจากการจอง มาแจกให้ Blogger ไปทำคอนเทนต์หรือเขียนรีวิว และแชร์บนโซเชียล จึงเกิดเป็นการโปรโมทธุรกิจโรงแรม เจ้าของแพลตฟอร์มกับ Blogger ก็รับรายได้ไปด้วย ซึ่งโอกาสธุรกิจท่องเที่ยว ขณะนี้ยังมีอีกมาก รี้ดมีกับบล็อกเกอร์ และรวมถึงเจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ จึงเป็นตัวช่วยซึ่งกันและกัน จวบจนถึงปัจจุบันรี้ดมีฯ แบ่งรายได้กับบล็อกเกอร์ 50% และเจ้าของแพลตฟอร์ม 50% นี่จึงทำให้รี้ดมีดอทมี มีบล็อกเกอร์และคอนเทนท์ที่น่าสนใจในการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

บล็อกเกอร์ มดงานที่มีความสุข

เข้าแน่นอนว่า การทำงานของบล็อกเกอร์แต่ละคน ในแต่ละวัน-เดือน-ปี นั้น ทุกคนต่างมุ่งส่งต่อข้อมูลเชิงลึกช่วยกันเสาะแสวงหาจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครได้สำรวจ มาเติมเต็มข้อมูลของเว็บท่องเที่ยว Readme.me อยู่เสมอ ด้วยทราบภารกิจสำคัญ คือการช่วยกันขับเคลื่อน Readme.Me ให้เป็นแพลตฟอร์มบล็อกท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมด้วยระบบนิเวศที่แข็งแรง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีอันทรงพลังและโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวมีความยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น ส่วนของบล็อกเกอร์จึงเปรียบเสมือน ‘มดงานที่มีความสุข’ เนื่องจากระหว่างที่ตัวเองไปท่องเที่ยวหรือสำรวจสถานที่ในแต่ละแห่งนั้น ตัวเองก็ได้รับความสุข ดื่มด่ำไปกับที่แห่งนั้นตามไปด้วย

ว่ามาถึงตรงนี้ ก็อยากบอกว่า ใครต้องการมีอาชีพบล็อกเกอร์ ส่งต่อประสบการณ์ท่องเที่ยว แล้วมีรายได้ ก็สามารถสมัครเข้าไปเป็นบล็อกเกอร์ที่ Readme.me ร่วมส่งต่อเรื่องเล่าจากตัวเราได้ โดยธนิตเอง ก็ประกาศ เปิดรับทุกคนแม้ไม่ใช่ผู้มีชื่อเสียงในวงการ เป็นบล็อกเกอร์มือใหม่-มือสมัครเล่น ก็สามารถเป็นผู้หนึ่งที่โดดเด่นในวงการได้ ทั้งนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Readme.me ในปัจจุบันมีผู้คนฟอลโลว์ ผ่านโซเชียลมีเดียหลักล้านคนแล้ว ดังนั้น ใครก็ตามที่เข้ามาท่องโลกการท่องเที่ยว ณ ที่แห่งนี้ ก็จะได้เห็นงานเขียนของบล็อกเกอร์นั้นๆ ไปด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็จะเป็นอีกจุดที่ช่วยบล็อกเกอร์ตัวเล็กๆ สร้างชื่อเสียงและมีรายได้ได้อย่างรวดเร็วตามไปด้วย หากงานเขียนนั้น ได้รับความสนใจ มีผู้ชมเข้ามาอ่านจำนวนมาก ตามกดไลค์ กดแชร์ และให้คอมเมนท์สม่ำเสมอ ซึ่งเทคโนโลยี AI จะจับความเคลื่อนไหว ส่งต่อเป็นคะแนนให้บล็อกเกอร์ และรางวัลที่เป็นคะแนนนี้เอง บล็อกเกอร์สามารถนำไปแลกของรางวัล กับ Readme.me ได้อีก

Readme.me ยังมีระบบที่ชื่อว่า Blocker matching ซึ่งเป็นระบบที่ให้ผู้ประกอบการการด้านท่องเที่ยว เข้ามาโพสต์หาบล็อกเกอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในส่วนของบล็อกเกอร์ ก็สามารถมาจอยกับระบบนี้ได้ ทำให้บล็อกเกอร์สามารถเที่ยว-รับประทานอาหาร ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แลกกับการรีวิว สถานที่หรือร้านอาหารนั้นๆ เป็นต้น 

การเปิดโอกาสเช่นนี้ ก็ทำให้ Readme.me มีพันธมิตรธุรกิจท่องเที่ยวใน Ecosystem มากกว่า 1,000 แห่ง เพราะทั้งธุรกิจท่องเที่ยว บล็อกเกอร์ และรี้ดมี ต่างเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า รีวิวแล้วทำให้ยอดจองโรงแรมที่พัก เต็มต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้ช่วง Low Season ทั้งยังจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากจุดแข็งท่องเที่ยวไทยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อันสวยงาม คนไทยใจดี อากาศดี น่าอยู่ น่าเที่ยว ยิ่งในด้านค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยแล้ว ถือว่า ประหยัดมากๆ และเป็นการท่องเที่ยวที่สุดคุ้ม ใช้เงินน้อย นั่นจึงเป็นที่มาให้แต่ละปี มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก เป็นอีกจุดขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ

ช่องทางการติดต่อ 

Readme.Me: th.readme.me และ https://www.facebook.com/th.readme.me

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

cover1

Rewastec ฮีโร่ปั้นขยะพลาสติก-ขยะเกษตร สู่นวัตกรรมต่อยอดสินค้า

Rewastec ฮีโร่ปั้นขยะพลาสติก-ขยะเกษตร สู่นวัตกรรมต่อยอดสินค้า

• รีเวสเทค สตาร์ตอัพสร้างคุณค่า-มูลค่าเพิ่ม ให้ขยะพลาสติก และขยะทางการเกษตร
• ปั้น 2 วัสดุคลาสสิก คือ นวัตกรรมเชือกและเม็ดพลาสติกรีไซเคิล
• ช่วยธุรกิจอุตสาหกรรม สิ่งทอ-เฟอร์นิเจอร์และงานออกแบบ ต่อยอดสินค้า ทางเลือกยั่งยืนสำหรับอนาคต

‘พลาสติก’ จัดเป็นวัสดุที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 20 พลาสติกเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายมิติให้ผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อโลกมีอาการป่วย สะท้อนความไม่สมดุล เกิดภาวะโลกร้อนที่ส่งเอฟเฟกต์มากมาย ขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นปีละกว่าหลายร้อยล้านตันและมีระยะเวลาในการย่อยสลายที่ยาวนาน จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่หลายองค์กรและผู้คนทั่วโลกลงมติให้ ‘ลดการใช้’ และอีกด้านก็ยังคิดนำขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นแล้วไป ‘รีไซเคิล’ วนกลับมาใช้ใหม่ 


รีเวสเทค บริษัทสตาร์ทอัพ ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกและเชือกคอมโพสิตจากวัสดุรีไซเคิล ร่วมเป็นหนึ่งใน Ecosystem นี้และเป็นส่วนสำคัญช่วยทำให้คนไทย ‘ยิ้มออก’ เพราะนี่คือ อีกหนึ่งแนวทางของการอยู่ร่วมกับพลาสติก สร้างคุณค่าขยะพลาสติกให้มีมูลค่า

วิศรุต ชาลี CEO & Founder บริษัท รีเวสเทค จำกัด เผย บริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรีไซเคิลและนวัตกรรมวัสดุที่ยั่งยืน เชี่ยวชาญในการนำขยะพลาสติกและขยะทางการเกษตรกลับมาใช้ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสนับสนุนวงจรชีวิตของวัสดุอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้น 2 วัสดุ “การผลิตเม็ดพลาสติกและเส้นเชือกคอมโพสิตจากวัสดุรีไซเคิล” ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการพึ่งพาวัสดุใหม่จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคัดแยกวัสดุ รีไซเคิลไปจนถึง การผลิตเม็ดพลาสติกและเส้นเชือกคอมโพสิตรีไซเคิล นวัตกรรมเหล่านี้เน้นที่การลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยให้ทั้งบริษัทและลูกค้า สามารถมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้

นี่คือภาพของ เส้นพลาสติกรีไซเคิล ที่ผลิตจากการรีไซเคิลขยะพลาสติก ซึ่งได้มาจากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ 90% และฟางข้าว จากชาวนาจังหวัดนครราชสีมา 10% มากลายเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะ ‘สิ่งทอและเฟอร์นิเจอร์’ ที่ช่วยสร้างความคลาสสิก ผลิตภัณฑ์มีความสวย การใช้งานยาวนาน มีความคงทน ยืดหยุ่น ทนทานต่อการดึงยืด ต้านทานแรงกระแทกและมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น  นี่แหละผลงานที่เราต่างก็ช่วยกัน เพื่อทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น 

รู้จักผลิตภัณฑ์และบริการหลักของ รีเวสเทคทั้ง 2 ชนิด? 

เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคอมโพสิต : ผลิตจากขยะพลาสติกและขยะทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบไผ่ กากกาแฟ และชานอ้อย มีคุณสมบัติหลากหลายเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น มีความแข็งแรง ทนทานต่อการดึงยืด และทนทานต่อแรงกระแทก 

เส้นเชือกพลาสติกรีไซเคิล (หวายเทียม) : ผลิตจากขยะพลาสติกรีไซเคิลและขยะทางการเกษตร มีคุณสมบัติเชิงกลที่ดีกว่า หรือเทียบเท่าหวายเทียมที่มีขายในท้องตลาด รวมทั้งมีสีสันที่ใกล้เคียงวัสดุธรรมชาติ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และแฟชั่น 

ลงลึกอีกนิดว่า ‘เส้นพลาสติกรีไซเคิล’ นี้ใช้กระบวนการเอกซ์ทรูเดอร์ชนิดเกลียวคู่ (twin screw extruder) ซึ่งเป็นเอกซ์ทรูเดอร์ (extruder) ที่พัฒนาขึ้นภายในกระบอก (barel) มีสกรู (screw) 2 อันวางขนานกันตามแนวนอน ช่วยให้การลำเลียง ผสม นวด วัตถุดิบ ที่มีความชื้นสูงได้ดี วัสดุนี้ได้ผ่านการปรับปรุงสูตรจนมีคุณสมบัติเชิงกลที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีกลิ่นธรรมชาติ

ภารกิจ ‘รีไซเคิลขยะพลาสติก’ เป็นเทรนด์แห่งโอกาส ต้นทุนต่ำ แข่งขันได้ และภายใต้แรงกดดันของภาครัฐและสังคม ที่ให้มีการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นก็ส่งผลถึงแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลมีเพิ่มขึ้น โอกาสของธุรกิจรีไซเคิลเพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จึงมากขึ้นตาม 

รีเวสเทค ในฐานะผู้นำนวัตกรรมเชือกและเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ทางเลือกยั่งยืนสำหรับอนาคต จึง บริการให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำและพัฒนาวัสดุพลาสติกให้กับบริษัทต่างๆ ที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน ทั้งยัง บริการพัฒนาสินค้าร่วมกับลูกค้า โดยสามารถช่วยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า สร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและร่วมสมัย ทั้งจากทางรีเวสเทคและชุมชน ที่กล่าวได้ว่า มีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจำนวนมาก

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ รีเวสเทคจึงมีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเอเชียและในประเทศไทย ซึ่งมีความต้องการพลาสติกรีไซเคิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเติบโตทางธุรกิจที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า รีเวสเทค ได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ HMC Polymer เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาด มีผลงานที่น่าพอใจ โดยรีเวสเทคได้รับรางวัลและการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย เช่น กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) 

ก้าวต่อไปของรีเวสเทค 

วิศรุต ยังเผยถึงก้าวต่อไปของรีเวสเทค ด้วยว่า มี 3 แผนที่พร้อมเดินหน้า ทั้ง ‘การขยายตลาด’ ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ในประเทศและเริ่มการส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง, แผน ‘เพิ่มกำลังการผลิต’ โดยจะปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและลดต้นทุน ต่อยอดถึงแผนที่ 3 คือ ‘การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่’ ซึ่งรีเวสเทคมีแผนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาจากผลลัพธ์และคำติชมของลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ รีเวสเทค มีความพร้อมที่จะเติบโตและขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดวัสดุรีไซเคิล 

ช่องทางการติดต่อ 

Rewastec: https://www.facebook.com/Rewastec


บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

COVER 1

SATI ชู Chat Sum ตัวช่วย รพ.-แพทย์ ลดงานยุ่งยากซับซ้อน

SATI ชู Chat Sum ตัวช่วย รพ.-แพทย์ ลดงานยุ่งยากซับซ้อน

• SATI (สาติ) สตาร์ตอัพด้านการแพทย์ พัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้วย AI ชี้จุดเด่น ลดภาระงานที่ยุ่งยากซับซ้อน แก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายทางการแพทย์
• นำ AI มาเป็นตัวช่วยในการแปลงรหัส ICDs และการเก็บข้อมูล Big Data เชื่อมโยงสิทธิสวัสดิการอื่นๆ ทั้งประกันสังคม ประกันชีวิต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• และอีกข้อสำคัญ ยังเป็นตัวช่วยแพทย์ลดระยะเวลา ‘การสรุปชาร์ต’ เพิ่มเวลาตรวจ-ดูแลคนไข้มากขึ้น

รู้หรือไม่? งานในโรงพยาบาลยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าที่บุคคลภายนอกจะเข้าใจ !!! เพราะในขณะที่แพทย์ตรวจคนไข้ ก็ต้องมีเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย มีงานต้องสรุป เพื่อทุกฝ่ายงานรับรู้และเข้าใจที่ตรงกัน เช่นเดียวกับงานส่วนอื่นๆ ที่แต่ละฝ่ายล้วนต้องประสานกับอีกหลายส่วนทั้งภายในภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเบิกจ่าย สิทธิสวัสดิการของคนไข้ซึ่งแต่ละคนที่ล้วนมีสถานะ-รายละเอียดแตกต่างกัน ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ถาโถมเข้าไปยังโรงพยาบาลจากการที่แต่ละคนต้องพาตัวเองเข้าไปรักษา ก็ทำให้ขนาดของข้อมูลในโรงพยาบาลมีความใหญ่ เป็น Big Data มากขึ้นทุกวัน อีกด้าน แพทย์และบุคลากรต้องดึงข้อมูลใช้อย่างต่อเนื่อง เรื่องเทคโนโลยีเพื่อความเสถียร และตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด จึงจำเป็นมากๆ

ด้วยเหตุนี้ สตาร์ตอัพด้านการแพทย์และเทคโนโลยี ที่ชื่อ SATI (สาติ) จึงถือกำเนิดเกิดขึ้น เมื่อปี 2565 โดยมีผู้ก่อตั้ง คือ นพ.รพีพัฒน์ ศรีจันทร์ กรรมการบริหารบริษัท สาติ จำกัด ร่วมกับเพื่อน อีก 3 คน คือ นพ.ธนภัทร คหบดีกนกกุล, พญ.แพรลดา วงศ์ศิริเมธีกุล และณชล แป้นคุ้มญาติ มีวัตถุประสงค์หลักคือการพัฒนาซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ประโยชน์ จัดการข้อมูลมหัต (Big data) เพื่อเสริมสร้างกระบวนการทางการแพทย์ และระบบบริการต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น

ก็เลยพัฒนา Chart Sum ระบบบันทึกสรุปทางการแพทย์รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาแก้ปัญหาด้วยการนำนวัตกรรมจากการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ควบคู่ไปกับความรู้ของแพทย์ เพื่อทำให้การสรุปชาร์ตมีประสิทธิภาพมากที่สุด อีกทั้งลดระยะเวลาที่แพทย์ต้องสรุปชาร์ตเพื่อเพิ่มเวลาในการตรวจรักษาคนไข้มากขึ้น

ทั้งนี้ ที่มาที่ไปของการต้องจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของโรงพยาบาล ก็เป็นเพราะมีข้อมูลหลายส่วน ที่ไม่ควรทำงานพลาด ประกอบด้วย ข้อมูลผู้ป่วย เวชระเบียน สิทธิ์สวัสดิการ ข้อมูลทางคลินิก การบันทึกข้อมูลสำคัญจากแพทย์ ข้อมูลการเงิน ข้อมูลอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอื่นๆ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวัน จากจำนวนคนไข้ที่เข้าไปรับการรักษา ระบบจึงมีการอัพเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งหากระบบหรือการวิเคราะห์ข้อมูลไม่ดี ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น พราะต้องยอมรับว่า หลายส่วนปฏิบัติการในโรงพยาบาล มีความยุ่งยากซับซ้อน แล้วเทคโนโลยีขั้นสูงที่เหมาะสมกับงานที่ยุ่งยากซับซ้อนเหล่านี้ จะต้องเป็นรูปแบบใดกันเล่า เพื่อที่เวลาแพทย์และบุคลากรส่วนต่างๆ จะดึงข้อมูลมาใช้จะได้อย่างไม่มีปัญหา

ต้องบอกว่า SATI เป็นสตาร์ตอัพที่ ‘ทำได้-ทำถึง’ เพราะสิ่งที่ทำนี้ เกิดจากการเป็นคนวงในที่รู้-เข้าใจโครงสร้างความยุ่งยากซับซ้อนอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับปัญหาที่บุคลากรทางการแพทย์พบเจอในโรงพยาบาล เมื่อประกอบเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีด้วยแล้ว การจะนำเทคโนโลยีชนิดไหนมาใช้ตอบโจทย์อะไรในปัญหาที่เคยมี ย่อมทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด โดยเฉพาะเจ้าความยุ่งยากซับซ้อนของระบบบริการต่างๆ

ที่ผ่านมา SATI รู้ดีว่า โรงพยาบาลต้องสูญเสียรายได้จากการเบิกจ่าย และการถูกเรียกเงินคืนจากการลงข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายโรงพยาบาลกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันเช่นกัน และยังสร้างมูลค่าเสียหายจำนวนมากให้กับทางโรงพยาบาล โดยสาเหตุหนึ่งของการลงข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนนั้น เกิดจากการบันทึกข้อมูลไม่ครบตั้งแต่แพทย์ผู้ให้การรักษาและมีการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงตามเกณฑ์การเบิกจ่าย อีกทั้งยังเกิดจากการทำงานของผู้ให้รหัสโรคที่อาจเกิดความผิดพลาดก่อนส่งเบิกประกันสังคม ประกันสุขภาพ และสวัสดิการข้าราชการได้ ทำให้สถานพยาบาลประสบปัญหาด้านการเงิน และไม่สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการกำหนดนโยบายการทำงานในอนาคตได้

ดังนั้น โซลูชัน Chart Sum ซึ่งมีประสิทธิภาพ ในการสรุปเวชระเบียน แปลงข้อมูลสำหรับการเรียกเก็บเงินและรหัสมาตรฐานทางการแพทย์ จึงเป็นตัวช่วยได้อย่างดี นอกจากนี้ ยังมี Clinsight มาช่วยเปลี่ยนข้อความทางคลินิกในบันทึกทางการแพทย์เป็นข้อมูลโครงสร้าง จุดนี้ก็เป็นการรองรับทั้งสถาบันการแพทย์ และบริษัทประกันภัย ด้วย

ย้อนดู Chart Sum ทำอะไรได้บ้าง?
Chart Sum เป็นโปรแกรมสำหรับการสรุปชาร์ตผู้ป่วยที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรและเติมเต็มความสมบูรณ์ให้เวชระเบียนด้วยระบบ AI เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเบิกจ่าย โดย Chart Sum นี้ จะเป็นระบบที่ช่วยเหลือตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่การลงรหัสโรคให้เหมาะสมและครบถ้วนตามเกณฑ์ รวมการบันทึกของแพทย์ผ่านการการแนะนำและแจ้งเตือนของระบบ ซึ่งมาจากการนำข้อมูลจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาลจากส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลประวัติ การตรวจร่างกาย ผลเลือด ผลทางห้องปฏิบัติการ รหัสหัตถการ และการสั่งจ่ายยา ต่าง ๆ มาทำงานผ่านระบบบันทึกเวชระเบียนของโรงพยาบาล สรุปข้อมูลให้เรียบร้อย เพื่อส่งต่อให้ Medical Coder ประเมินและยืนยันอีกครั้งก่อนส่งเบิกจ่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของทุกสิทธิการรักษา ลดภาระงานของ Medical Coder และลดอัตราการถูกเรียกเงินคืนจากความผิดพลาดของการลงรหัสโรค

กล่าวได้ว่า Chart Sum มีความแม่นยำสูงในการสรุปเวชระเบียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร รวมทั้งสามารถติดตามความเคลื่อนไหวด้านการเบิกจ่าย และการทำงานของฝ่ายเวชสถิติ จึงสามารถนำข้อมูลมาช่วยในการวางแผน และตัดสินใจ รวมทั้งนำข้อมูลทางการแพทย์มาวิเคราะห์เพื่อวัดผลสำเร็จในการดำเนินงาน ช่วยประเมินถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาล เพิ่มประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายของทุกสิทธิการรักษา ทำให้รายจ่ายลดลง และลดอัตราการถูกเรียกเงินคืนจากความผิดพลาด

ทั้งนี้ Chart Sum ยังพัฒนาขึ้น เพื่อสอดรับกับมาตรฐานบันทึก Discharge summary ตั้งแต่ MRA, HA, AHA, HAIT และอื่น ๆ พร้อมทั้งฟังก์ชันสนับสนุนการบันทึกอย่าง IMPRESS ReMED, Bill-in, DRG calculator และอื่น ๆ เรียกใช้ข้อมูลและแสดงผลผ่าน Dashboard ช่วยสนับสนุนการวางแผนการตัดสินใจและนโยบายของสถานพยาบาล เสริมสร้างขีดความสามารถในการเรียกเก็บ การเบิกจ่ายและการเบิกเคลม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราการสูญเสียข้อมูลที่สำคัญ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลต่อไปได้

ผู้พัฒนาระบบ ยังตอกย้ำ ความคุ้มค่าหากโรงพยาบาลต่างๆ จะนำ Chart Sum เข้าไปใช้ โดยจะช่วยลดภาระงานทางด้านโครงสร้างข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถเปิดให้ทดลองใช้ระบบ โดยติดตั้งจริงที่สถานพยาบาล ภายใต้ข้อกำหนดของบริษัทฯ ด้วย

SATI ยังชู Business model ที่ยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการและงบประมาณที่ไม่เหมือนกันของแต่ละโรงพยาบาล ทำให้โรงพยาบาลสามารถเลือกโมเดลการใช้งานที่เหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของแต่ละแห่งได้ โดยรองรับทั้ง Software as a service และ API as a service ที่สามารถเชื่อมต่อได้ในรูปแบบ On Cloud และ On-Premise ในอนาคต SATI ยังจะพัฒนาระบบให้มีฟังก์ชันมากขึ้น พร้อมผนึกกำลังพันธมิตร เพื่อตอบโจทย์งานโรงพยาบาลครอบคลุมหลากมิติมากขึ้นต่อไป

ช่องทางการติดต่อ 

SATI: https://www.sati.co.th/ และ https://www.facebook.com/sati.co.ltd

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 19

‘CELLMIDI’ สตาร์ตอัพไทย พัฒนา ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’

‘CELLMIDI’ สตาร์ตอัพไทย พัฒนา ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’

ทั่วโลกสนใจ ไทยพัฒนา CAR T cell นวัตกรรม ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’ ให้ผลดีกับ ‘มะเร็งเลือด’
ชี้ เป็นนวัตกรรมรักษาที่ ‘เซลล์มีดี’ บริษัทสตาร์ตอัพไทย พัฒนาขึ้น ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาดี ต้นทุนถูกลง
ชูจุดเด่น ประสิทธิภาพสูง ขณะนี้อยู่ในระยะทดลอง และอยู่ระหว่างจดสิทธิบัตรการค้นคว้าวิจัย

ถือเป็นข่าวดี ที่โรคร้ายอย่าง ‘มะเร็ง’ มีนวัตกรรมการรักษา ที่เป็นทางเลือกมากขึ้น ต้องปรบมือให้ เซลล์มีดี บริษัทสตาร์ตอัพไทย ที่เล็งเห็นปัญหาสุขภาพกับโรคร้ายที่เกิดขึ้น คิดค้น พัฒนา ทำการวิจัยหาหนทางในการบำบัดรักษา เพราะโรคนี้มีหลายมิติ มีทั้งที่มาทางพันธุกรรม มาทางพฤติกรรมการใช้ชีวิต และบ้างก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทราบเหตุว่ามาจากอะไร โดยที่รู้ทันก็รักษาหายได้ แต่ก็มีมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับโรคร้ายนี้เป็นนานสองนาน 

ทั้งนี้ ด้วยเพราะมะเร็งเป็นเรื่องของ ‘เซลล์’ ที่มีความผิดปกติในอวัยวะต่างๆ โดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเกิดเป็นก้อนเนื้อที่มีการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง หรือกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ ผ่านทางระบบเลือด หรือระบบทางเดินน้ำเหลือง โดยโรคมะเร็งมีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดของโรค และชนิดของเซลล์มะเร็ง !!! อย่างไรก็ตาม แพทย์ย้ำเสมอว่า โรคมะเร็ง รู้เร็ว รักษาได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งมะเร็งร้ายซ่อนลึก มาเป็นภัยเงียบๆ อยู่กับเรามานาน รู้อีกทีก็ระยะลุกลามแล้ว ก็ขอให้ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนไปกับแพทย์ มันเกิดขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้ว หนทางข้างหน้าคือ การต้องรักษา โดยขอให้สบายใจได้อย่างหนึ่งว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีเทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัยต่างๆ มาช่วยตอบสนองการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

CMD03 CAR T cell เทคโนโลยีความก้าวหน้า รักษามะเร็ง

สุพรรณิการ์ ถวิลหวัง Chief Scientific Officer CELLMIDI บริษัทเซลล์มีดี จำกัด ถือเป็น 1 ในผู้ให้ความสำคัญด้านการค้นคว้าวิจัยในวงการ ‘โรคมะเร็ง’ โดยประกอบกิจการผลิตเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค และได้พัฒนา CMD03 CAR T cell ขึ้น เพื่อช่วยการรักษาโรคมะเร็งประสิทธิภาพสูง ระดับเซลล์ ที่เรียกได้ว่า แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดย CMD03 CAR T cell หรือคือการนำ CAR T cell มาต่อยอด สร้างเซลล์และยีนบำบัดรักษาที่ขณะนี้ทดลองและวิจัยแล้ว ว่าได้ผลดีกับการรักษามะเร็ง ที่ไม่ตอบสนองการรักษาด้วยมาตรฐานปกติ นี่จึงเป็นอีกความหวังของผู้ป่วย 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลายคนที่ทราบต่างก็ตื่นเต้นดีใจไปกับเทคโนโลยีความก้าวหน้า แต่ต้องบอกว่า ขณะนี้เวชภัณฑ์การรักษามะเร็งนี้ ยังอยู่ระยะทดลอง และเตรียมจดสิทธิบัตร คาดว่า จะนำมาให้คนไทยที่เป็นผู้ป่วยใช้ได้ไม่นานเกินรอ แย้มข้อมูลนิดนึงด้วยว่า ทางผู้วิจัยมีแผนระดมทุน (raise fund) และขึ้นทะเบียน ผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็งในไทย และสหรัฐอเมริกาด้วย ทั้งนี้ เซลล์มีดี ถือว่า เป็นบริษัทแรก ที่ทำให้คนไทยเข้าถึงนวัตกรรม CAR T cell ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จ ก็จะสามารถทำการส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าว และนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย หลังทั่วโลกต่างก็เผชิญปัญหาโรคร้ายนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รู้จัก CAR T cell และการค้นคว้าวิจัยของ เซลล์มีดี 

CAR T cell เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง และกำลังเป็นที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดย CAR-T cell เป็นกระบวนการนำเลือดจากคนไข้หรือผู้บริจาค ไปผ่านกระบวนการพันธุวิศวกรรม เพื่อสร้างเซลล์ที่มีความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งกลับเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย การรักษาโรคมะเร็งด้วย CAR T-Cell ที่ผลิตในประเทศไทยสามารถช่วยลดค่ารักษาให้ผู้ป่วยจากเดิมลงได้ถึงกว่า 5 เท่าตัวเมื่อเทียบกับค่ารักษาด้วยเซลล์จากต่างประเทศ 

และด้วยเพราะ บริษัท เซลล์มีดี ซึ่งเป็น biotech spin-off company ด้านการพัฒนาเซลล์และยีนบำบัด บริษัทแรกจากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพันธกิจในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงจากนักวิจัยไทย ไปต่อยอดสร้างคุณูปการในวงกว้างให้สังคม ทั้งประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข และด้านเศรษฐกิจ ในที่นี้ จึงนำศักยภาพของนวัตกรรม CAR T cell ซึ่งจัดได้ว่าเป็น deep technology มาขับเคลื่อนค้นคว้าวิจัยต่อยอด ให้สามารถนำมาใช้ได้จริง และดำเนินการเชิงพาณิชย์ ไปสู่การขึ้นทะเบียนทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ และที่สำคัญ ทำให้ผู้ป่วยชาวไทยเข้าถึง technology  CAR T cell ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ทั้งยังเพื่อส่งออกเทคโนโลยีนี้ นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย ด้วย

ทั้งนี้ CAR T cell ในปัจจุบันได้ผลดีเฉพาะในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด การค้นคว้าวิจัยของเชลล์มีดี ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร ผลการวิจัยค้นคว้า เชลล์มีดีพบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ CAR T cell ในการฆ่าเซลล์มะเร็งสมอง มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเต้านม อันรวมถึง มะเร็งก้อนที่พบบ่อยอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ทั้งยัง เพิ่มการคงอยู่ของ CAR T cell ในร่างกาย โดยผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองตามมาตรฐานสากล กล่าวได้ว่า ขณะนี้พร้อมสำหรับการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 1 ผลนี้ทีมวิจัยมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยีนี้จะเป็นความหวังใหม่สำหรับชาวไทยในการรักษาโรคมะเร็งที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ ได้ต่อไป 

ทั้งนี้ เมื่อเราได้รู้ว่า CAR T cell ให้ผลดีเฉพาะ ‘ในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด’ ดังนั้น หากเทียบในกลุ่มโรคมะเร็ง ที่แพทย์แยกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ คือ 

  1. Carcinoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากผิวหนัง หรือ เนื้อเยื่อบุอวัยวะ
  2. Sarcoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากกระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ หรือเส้นเลือด
  3. Leukemia คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้มีความผิดปกติของเม็ดเลือด
  4. Lymphoma and myeloma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนินมาจากเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน
  5. Central nervous system cancers ระบบสมอง และไขสันหลัง

ก็เท่ากับว่า นวัตกรรมสตาร์ตอัพ สามารถช่วยการรักษามะเร็งในกลุ่มที่ 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกลุ่มอื่นๆ เชื่อว่า นักค้นคว้าวิจัย ยังอยู่ระหว่างศึกษากันต่อไป เนื่องจาก ‘เลือด’ ถือเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้ส่วนอื่นๆ ขับเคลื่อนได้ดี เป็นอีกความหวังว่าจะมีการพัฒนาเพื่อต่อยอดรักษามะเร็งชนิดอื่นได้ตรงจุดต่อไป

นี่จึงเป็นอีกข่าวดี สำหรับวงการรักษามะเร็งไทย ที่ตอบสนองการรักษาได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไม่ตอบสนองการรักษาอื่นๆ แล้ว !!!

 

ช่องทางการติดต่อ CELLMIDI: https://www.cellmidi.com/ 

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Dr_ASA-1

Dr.ASA ‘หมอประจำตัว’ ช่วยวางแผนสุขภาพ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพได้ด้วยปลายนิ้ว

Dr.ASA ‘หมอประจำตัว’ ช่วยวางแผนสุขภาพ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพได้ด้วยปลายนิ้ว ด้วยการให้คำปรึกษาฟรีทางระบบออนไลน์

DR.ASA (ดร.อาสา) แอปพลิเคชันช่วยวางแผน-จัดการปัญหาสุขภาพ
ช่วยเคลียร์ชัด ‘ทุกความงง’ ทั้งการอ่านค่าผลตรวจ งงลายมือหมอ หรือกรณี จำคำแนะนำตามแพทย์สั่งไม่ได้
ตอกย้ำ การเป็น ‘คู่ใจวัยเก๋า’ ดูแลแก้ NCDs ใกล้ชิด ลดเหลื่อมล้ำ พาทุกคนเข้าถึงทุกเรื่องสุขภาพ

‘สุขภาพ’ เป็นเรื่องสำคัญของคนทุกวัย ที่ผ่านมาการเข้าถึงสุขภาพของคนไทยยังอยู่เฉพาะกลุ่มผู้มีกำลัง เกิดความเหลื่อมล้ำค่อนข้างชัด แต่เมื่อเข้าสู่ยุคโควิด 19 ประชาชนจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้ผู้คนมีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะเอาชนะภัยจากเชื้อโรคที่มองไม่เห็น เปรียบเสมือน “ซอมบี้” ที่คอยคุกคามผู้คนไม่รู้จบ

ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอื่นๆ แม้ไม่ได้ติดเชื้อโควิด ก็พบว่าการเข้าถึงการรักษาเป็นไปอย่างยากลำบาก นับเป็นวิกฤติสุขภาพครั้งสำคัญที่ทุกคนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

จะดีกว่าไหม? ถ้าเรา มีแพทย์ติดตัวใกล้ชิด และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ก่อเกิดแอปพลิเคชันทางการแพทย์ ชื่อ DR.ASA (ด็อกเตอร์อาสา) เพื่อมาเป็นตัวช่วยทุกคน เข้าถึงทุกเรื่องสุขภาพ ‘แค่ปลายนิ้ว’

นายเเพทย์ ธนกร ยนต์นิยม Chief Medical Officer บริษัท ด๊อกเตอร์อาสา เฮลท์ จำกัด สตาร์ตอัพผู้ร่วมก่อตั้ง DR.ASA Health ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน DR.ASA ชี้ สุขภาพดีมีหลากมิติ ตั้งแต่การทำเองที่บ้าน การเข้าปรึกษาแพทย์ทั้งการรับคำปรึกษาธรรมดา หรือปรึกษาเพื่อรักษาเมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ใช่ว่า พบแพทย์แล้ว ปัญหาทุกอย่างจะหมดไป เพราะเมื่อกลับมาถึงบ้าน ยังมีอีกหลายคนที่เกิดอาการ ‘อ๊อง’ ไม่เข้าใจประโยคที่หมอสั่ง นี่ก็เป็นอีกปัญหาที่ DR.ASA พบ จึงเกิดแนวคิดของ ‘การดูแล’ ลามไปถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่มาเป็นแพ็คเป็นพวง อย่าง NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ที่คนไทยประสบปัญหามากขึ้น และปัจจุบัน ยังพบด้วยว่า ไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้สูงอายุ แต่กลุ่มที่เกิดโรค ยังมีอายุที่น้อยลง ด้วย สิ่งนี้เป็นเรื่องน่าตกใจพอมควร เพราะนั่นหมายความว่า สุขภาพคนไทย แย่ลงทุกวัน

DR.ASA ตัวช่วยสุขภาพอย่างไรบ้าง?
• จะว่าไป DR.ASA ช่วยคนได้มาก ถ้าใครรู้จักแล้ว เป็นต้องรักกันทุกคน โดยมีคำกล่าวจากผู้ใช้จริง ระบุว่า
• ตั้งแต่ปรึกษาหมอใน DR.ASA มา ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นเยอะเลย แถมลดการกินยาลงได้อีก
• เพิ่งรู้ว่า … เมื่อก่อนดูแลตัวเองผิดวิธีมาโดยตลอด มาปรึกษาหมอสุขภาพ ดีขึ้นมากๆ เลยค่ะ
• เมื่อก่อน คุณแม่สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ค่อยฟังหนู แต่พอให้มาอยู่ในมือหมอ ตอนนี้แข็งแรงขึ้นเยอะ
• ฯลฯ

กล่าวได้ว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีใครรู้ ว่าจะเกิดอะไรกับใครขึ้นเมื่อไหร่ เพราะปัจจุบัน แม้คนร่างกายแข็งแรงกำยำ แต่ก็มาหัวใจวาย ไตวาย เสียชีวิตฉับพลัน สร้างความตื่นตกใจให้ผู้คนรอบข้างได้มาก โดยที่ไม่รู้เลยว่า ที่ผ่านมา เป็นอะไรมาก่อน เนื่องจากร่างกาย มีอาการฟ้องทีละนิด แต่ตัวเรา คิดว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก การไปโรงพยาบาล อาจทำให้ต้องเสียเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน แต่ถ้ามีแอปพลิเคชัน DR.ASA ก็ยังสามารถถามได้ในทันทีทันใด  สิ่งนี้ยังช่วยตอบโจทย์ การลดความเหลื่อมล้ำ สามารถเข้าถึงหมอได้ง่ายขึ้น และทำให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพได้ด้วยปลายนิ้ว ด้วยการให้คำปรึกษาฟรีทางระบบออนไลน์

การก่อกำเนิดของ DR.ASA

จะว่าไป DR.ASA ถือกำเนิดขึ้นช่วงโควิด 19 โดยเริ่มต้นมาจากการช่วยคนผ่านออนไลน์ และทำให้เห็นถึงปัญหาเรื่องการตอบโจทย์ด้านสุขภาพ และระบบการบริหารข้อมูลด้านการเเพทย์ปฐมภูมิ ดังนั้น DR.ASA จึงพัฒนาเเพลตฟอร์มขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องการบริหารวิเคราะห์ข้อมูลทางการเเพทย์และเชื่อมกับข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้งานผ่านไลน์ ให้ผู้ใช้งานได้ทั้งความรู้สุขภาพจากหมอ ได้รู้จักสุขภาพของตัวเองจากการวิเคราะห์ด้วย Doctor AI การปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอผ่านไลน์ ให้เสมือนมีหมอประจำตัว ในขณะเดียวกันคุณหมอ ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ใช้งานเชิงลึกจากระบบ DATA Management เพื่อการตอบโจทย์เรื่องการบริการ การรักษา และอื่นๆ ให้ตรงจุดและตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น

คุณหมอ ธนกร บอกด้วยว่า แรกเริ่มเดิมที DR.ASA มีตัวคุณหมอร่วมกับกลุ่มเเพทย์รุ่นใหม่ ปัจจุบันเรียกได้ว่า นอกจากจะมีการพัฒนาการใช้ผลิตภัณฑ์ร่วมกับภาครัฐและเอกชนในบางที่เเล้ว ยังได้รับความร่วมมือจากอาจารย์ภาควิชาวิศวะคอมพิวเตอร์ จุฬาฯ มาช่วยเป็นที่ปรึกษาพัฒนาซอร์ฟแวร์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมาย ‘ทำให้คนกล้าที่จะหาหมอ’ กล้าปรึกษาหมอได้โดยไม่มีกำแพงกั้น โดยเฉพาะเรื่องราคาที่สามารถสบายใจได้ เพราะผู้ใช้งานสามารถแจ้งงบประมาณที่ต้องการใช้บริการได้ เมื่อระบบ DATA Management รับทราบก็จะช่วยวิเคราะห์สินค้าทั้งคุณภาพและราคา ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด จุดเด่นที่สำคัญอีกด้าน คือ เเพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ออกแบบเอง ซึ่งจะทำให้ตอบโจทย์ในสิ่งที่ผู้ใช้งานอยากได้ และมีความแม่นยำตามหลักการเเพทย์ 

สำหรับผู้ใช้บริการ นอกจากจะประกอบด้วย บุคคลทั่วไป ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วย จะรับบริการได้โดยตรงแล้ว กลุ่มหน่วยงานที่ต้องการใช้ระบบ ก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม และนำไปเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานตัวเองได้เช่นกัน เพราะนี่เป็นอีกก้าวสำคัญของระบบสุขภาพ ที่ใกล้ชิดติดตัวทุกคนก็ว่าได้

ที่ผ่านมา DR.ASA มีการนำไปใช้จริงในหน่วยงานของรัฐและเอกชน และนำไปเเลกเปลี่ยนแนวการพัฒนาในต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม อนาคต DR.ASA จะสร้าง ecosystem ทั้งผลิตภัณฑ์ การบริการ อื่นๆ ให้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบความต้องการของผู้ใช้งานให้ตรงจุด 

คำโบราณว่าไว้ ‘ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ แต่เมื่อเข้าสู่ ‘ผู้สูงอายุ’ อะไหล่ต่างๆ ใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ปี ก็มีการเสื่อมสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้สูงอายุจะมีหลากหลายอาการ และรวมถึง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หรือเรียกอีกอย่างว่า โรคที่เกิดจากพฤติกรรม จำพวก ‘อ้วนลงพุง’ โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็ง และรวมถึง โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง อีกหลากหลายชนิด ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่แพทย์ยังคงวนรักษาอยู่ตลอด จะดีกว่ามั้ย ถ้าได้ดูแลไม่ให้โรคเหล่านี้ กระทบไปจนส่งผลร้ายแรง ถ้าเห็นดีด้วย ก็มาร่วมกันดูแลสุขภาพ กับ DR.ASA แพทย์ที่ปลายนิ้วกันเถอะ เพราะเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องใหญ่ของทุกชีวิต การมีสุขภาพดีก็ทำให้ชีวิตในทุกช่วงวัย มีความสุขระยะยาวได้ กันเลยทีเดียว

ช่องทางการติดต่อ 

Dr.ASA: https://www.facebook.com/doctorasahealth

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 27

Tann D ชู ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว’ อร่อยไม่พอ ยังช่วยคุมอาหาร ‘คนป่วยฯ-คนอ้วน’

Tann D ชู ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว’ อร่อยไม่พอ ยังช่วยคุมอาหาร ‘คนป่วยฯ-คนอ้วน’

อาจารย์นักโภชนาการ ต่อยอดเปลี่ยน ‘ไข่ขาว’ เป็น ‘เส้นโปรตีน’ แบรนด์ ‘ทานน์ดี’ ที่ช่วยให้ทานได้ทุกวัน ไม่เบื่อ-ไม่เอียน
ช่วยมากในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องควบคุมอาหาร ทั้งโรคไต มะเร็ง และเบาหวาน
ชี้จุดเด่น ให้โปรตีนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เหมาะกับทุกวัย ทั้งใช้เสริมเติมแต่ง สร้างเมนูใหม่ได้หลากหลาย

เรื่องกินเรื่องใหญ่ เพราะกินไม่ดีก็เป็นภัยกับสุขภาพ การเลือกแล้วว่า ‘กินดี’ ก็ใช่ว่า ‘จะได้ดีตามเลือก’ วันใดวันหนึ่งไม่มีใครรู้ว่า ‘กินพลาดตรงไหน-เมื่อไหร่’ เกิดการสะสมเป็นผลร้ายกับสุขภาพได้เหมือนกัน ดังนั้น การมีต้นกำเนิดผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่มีทั้งประสิทธิภาพชัด มีการวิจัยชี้ผลดีเลิศ ช่วยอุ่นใจได้มาก เชื่อได้ว่า ให้ผลดีกับสุขภาพได้แน่นอน 

อย่างเช่น นวัตกรรม Tann D (ทานน์ดี) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’ ของ สถาพร งามอุโฆษ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ทานดี อินโนฟูด จำกัด เรียกได้ว่า ตอบโจทย์สุขภาพคนไทยและคนทั่วโลกได้มาก มีการกล่าวด้วยว่า ถ้าเฉพาะ ‘กลุ่มคนอ้วน’ ก็มีประมาณ 1 ใน 3 ของคนทั่วโลกที่กำลังประสบปัญหา หากนับแค่เฉพาะในประเทศไทยก็มีคนอ้วนติดอันดับ 2 ของอาเซียนไปเรียบร้อย ถือเป็นสถิติที่ไม่ค่อยน่าภาคภูมิใจ เพราะนี่คือ ปัญหาความอ้วน ที่จะมีผลกับสุขภาพทำให้ต้องเสียเงินรักษาจำนวนมาก และความอ้วนยังรบกวนชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันเป็นผลพวงจากความอ้วนได้อีกมาก แต่ถ้าเมื่อใด กลุ่มคนอ้วนนี้ ต้องการ ‘ลดแป้ง’ เส้นโปรตีนจากไข่ขาว 100% ก็จะช่วยตอบโจทย์ได้มาก

ย้อนดูจุดก่อกำเนิด เส้นโปรตีนไข่ขาว 100% กันสักนิด…สถาพร เผยถึงการพัฒนา ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’ ว่า มาจากประสบการณ์ความรู้ความชำนาญ จากการเป็นนักโภชนาการ ผู้มีหน้าที่กำหนดอาหารดูแลผู้ป่วย ‘โรคไต และโรคมะเร็ง’ มองเห็น ความสำคัญและโอกาสของโปรตีนจากไข่ ที่เหมาะอย่างยิ่งกับคนทุกกลุ่ม และจะจำเป็นมากๆ กับกลุ่ม ‘ผู้สูงอายุ และผู้มีปัญหาสุขภาพที่ต้องการโปรตีนสูงแต่ไขมันต่ำ’ เช่น ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคไต เบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เป็นต้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรงมะเร็งที่อยู่ในช่วงของการให้เคมีบำบัด มีความจำเป็นต้องบริโภคไข่ขาวในปริมาณมาก เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่การรับประทานไข่ขาวต้มเป็นประจำทุกวันและต่อเนื่อง มีหลายเคสมาแล้วที่พบว่า เป็นปัญหา ทานทุกวันแล้วหลายคนรู้สึกเบื่อ กระทั่งกลายเป็นความเครียดที่ต้องทาน จนอยากเลิกรับประทานไข่ขาวไปในที่สุด

Pain Point นี้เอง ทำให้เกิดแนวคิด ‘พัฒนาไข่ขาวให้เป็นอาหารในรูปแบบใหม่’ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทานอาหารได้อย่างมีความสุข โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์เส้นโปรตีนไข่ขาวพร้อมทานในลักษณะของเส้นที่มีโปรตีนสูง ไร้แป้งไร้ไขมัน ให้พลังงานต่ำ และเก็บได้นานถึง 18 เดือนโดยไม่ต้องแช่เย็น โดยเส้นโปรตีนไข่ขาว 1 ซอง 100 กรัมจะได้พลังงาน 45 – 50 แคลอรี่ และโปรตีน 8 – 10 กรัม

เจาะจุดเด่น ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’
สถาพร นักโภชนาการ ผู้คิดค้นนวัตกรรม ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’ ยังเผยประสิทธิภาพเส้นโปรตีนไข่ขาว ว่า มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ
• ไม่มีแป้ง
• ไม่มีกลูเตน
• ไม่มีสารกันเสีย
• มีรสชาติ

‘ไม่เหมือนไข่ต้ม’ เนื่องจากการทำเส้นจากไข่ขาว ไม่ได้เอาไข่ขาวมารีดให้เป็นเส้น แต่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการผลิต นำสารสกัดจากพืชมาหุ้มไข่ขาว เพื่อที่จะได้รีดออกมาเป็นเส้นคล้ายเส้นแป้งอย่างเส้นหมี่ เส้นอูด้ง หรือเส้นขนมจีน อย่างที่ผู้บริโภคคุ้นเคย ดังนั้น จึงเหมาะทั้งกับใช้ประกอบเมนูไข่ขาว ผู้ป่วยมะเร็ง เมนูไข่ขาว ผู้ป่วยโรคไต และกลุ่มคนที่ทานคีโต หรือกำลังมองหาเส้นที่กินแล้วผอม แคลอรี่น้อย เป็นอย่างยิ่ง “ผลิตภัณฑ์เส้นโปรตีนไข่ขาว เกิดขึ้นจากนวัตกรรม Protein Transformation ซึ่งเป็นรายแรกของประเทศไทยและเป็นรายเดียวของโลก เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรูปแบบจากไข่ขาวต้มธรรมดาให้อยู่ในรูปของไข่ขาวเส้นด้วยเทคโนโลยีของเครื่องรีดที่ผลิตขึ้นใหม่ โดยนำสารสกัดจากพืชมาห่อหุ้มตัวโปรตีนให้คงรูปแบบในลักษณะเส้น ที่ให้เนื้อสัมผัสนุ่ม รสชาติอร่อย และยังรักษาคุณค่าของโปรตีนในไข่ขาวไว้ได้ ในขั้นตอนของการพัฒนามีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งในเรื่องกระบวนการผลิต การพัฒนาเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิต การจัดหาวัตถุดิบที่เหมาะสม และต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการพัฒนาและปรับปรุงรสสัมผัสให้ได้ตามที่ต้องการ” จากนวัตกรรม สู่แบรนด์ Eggyday กล่าวได้ว่า การวิจัย-พัฒนา ‘ไข่ขาว’ เป็นอีกหนึ่งในนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ ยกลงหิ้งเข้าห้างได้แล้ว เพราะขณะนี้ ทานดี อินโนฟูด ทำผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Eggyday มาวางตลาดแล้ว โดยมีผลิตภัณฑ์ 3 รูปแบบ คือ เส้นหมี่ไข่ขาว เส้นราเมนไข่ขาว และเม็ดไข่มุกไข่ขาว เพื่อกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มหลัก คือกลุ่มผู้ป่วย เช่น
  1. กลุ่มผู้ป่วย โรคไต โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน
  2. กลุ่มผู้สูงวัยและคนแพ้อาหาร
  3. และกลุ่มคนรักสุขภาพ ออกกำลังกาย ที่ต้องการสร้างความลีนให้กับร่างกาย
โดยปัจจุบันมีช่องทางจัดจำหน่าย ทั้งที่โมเดิร์นเทรด Horeca และบนออนไลน์ วางราคาจำหน่ายซองละ 79 บาท โดยเน้นการสื่อสารผ่านกลุ่ม Key Person เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Youtube, TikTok, Line, IG, FB: @eggyday.official รวมถึงเว็บไซต์ www.eggydayofficial.com ก็เรียกได้ว่า ผลตอบรับดี แม้ผู้บริโภคบางส่วนจะบอกว่า แพงไปสำหรับการรับประทานทุกมือ แต่ท่านที่มีความคิดเห็นนี้ ก็ยังเป็น 1 ในผู้รับประทานสินค้า ‘เส้นโปรตีนจากไข่ขาว’ เนื่องจากเห็นว่า เป็นประโยชน์กับร่างกายจริงๆ นั่นเอง ดังนั้น ถ้าเรายังไม่ได้เป็นผู้ป่วย อาหารนี้เป็นได้ทั้งอาหารหลัก และอาหารทางเลือก ผู้บริโภคก็สามารถจัดสรรได้ตามมื้ออาหารที่ต้องการ นับว่า เป็นทางเลือกที่สำคัญ ที่นับว่า มีประโยชน์กับร่างกายอย่างแท้จริง ช่องทางการติดต่อ Tann D: https://www.facebook.com/tannd.th บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 27

Gideon One พัฒนา Zplify ช่วยจัดการ Climate ครบจบในที่เดียว

Gideon One พัฒนา Zplify ช่วยจัดการ Climate ครบจบในที่เดียว

Zplify แพลตฟอร์ม ตัวช่วยองค์กร แสดงค่า ‘ก่อโลกร้อน’ ก่อนนำไปบริหารจัดการ เพื่อ ‘ลด’ ได้อย่างง่าย
สตาร์ตอัพ ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มพุ่งเป้า ‘องค์กรที่ประสงค์จะรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก’ โดยเฉพาะ
ปูทางสอดรับกติกาการค้าโลก แห่งอนาคต

‘โลกร้อน’ เป็นโจทย์ใหญ่ ที่องค์กรทั่วโลกต่างเร่งแก้ปัญหา โดยแนวทางลดผลกระทบที่สำคัญจุดใหญ่ อยู่ที่การประกอบธุรกิจของอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งทุกฝ่ายรับทราบและต่างกำลัง ‘มุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Carbon หรือ Carbon Neutral องค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์’ หนทางหนึ่งซึ่งถูกวางเป็นกฎกติกาโลกให้ทุกๆ องค์กรธุรกิจต้องปฏิบัติตาม นั่นคือ ‘การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์’ (Carbon Footprint) หรือคือการให้แสดงตัวเลขประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการประกอบการ และรวมถึงกิจกรรมทุกๆ ด้าน เพื่อทราบแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อนนำไปบริหารจัดการและวางแผน ลดการปล่อยก๊าซฯ เพื่อใครที่ต้องการเห็น ก็แสดงค่าได้ทันที

คาร์บอนฟุตปริ้นท์ ยังมากับกติกาภาษี ที่เรียกว่า Carbon Tax อนาคตอันใกล้จะกำหนดในเป็นกฎกติกาการค้าโลก ‘ใหม่’ ขณะนี้ยังไม่บังคับ เพราะยังเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ปรับตัว โดย Carbon Tax นี้ มีผลโดยตรงกับการติดต่อค้าขายในทั่วโลก ที่ถ้าหากคุณส่งออกสินค้าติดต่อประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดเรื่องคาร์บอนฟุตปริ้นท์ แต่คุณไม่มีตัวเลขแสดงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นั่นหมายความว่า คุณจะโดนเก็บภาษี แบบไม่ปราณีกันเลยทีเดียว 

แน่นอนว่า ตัวเลขการปล่อยก๊าซฯ เราพูดถึงหลัก ‘ล้านตันคาร์บอนฯ เทียบเท่า’ แล้ววัดกันยังไง…สตาร์ตอัพไทย ชื่อ Gideon One (กีเดี้ยนวัน) จัดการพาตัวช่วย เป็นแพลตฟอร์ ‘Zplify’ (ซีพลิฟาย) แพลตฟอร์มบันทึกและจัดการก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ไว้เรียบร้อย

พบพร วิตนากร Product Owner Gideon One ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม Zplify ชูจุดเด่นของแพลตฟอร์มที่พัฒนา เพื่อตัวช่วยองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจเรื่องก๊าซเรือนกระจก ที่ขณะนี้เทรนด์ทำธุรกิจต้องรู้ว่า การประกอบการนั้นๆ ก่อภาวะเรือนกระจกมากน้อยแค่ไหน? และพุ่งเป้าของแต่ละองค์กร เพื่อ ‘ลดให้ได้เป็น 0’ แพลตฟอร์ม Zplify จึงจะเป็นตัวช่วยสำคัญทั้งแง่ บันทึก, ลด, ชดเชย และรายงานก๊าซเรือนกระจก โดยแม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถใช้งานได้ เพราะในแพลตฟอร์มมีระบบเลือก Emission Factors ที่เหมาะสม นำมาคำนวณโดยอัตโนมัติ แล้วจำแนกออกเป็น Category และ Scope 1,2,3 ตามแบบของ Greenhouse Gas Protocol พร้อมทีมที่ปรึกษาให้คำแนะนำและอัพเดทข้อมูล ของแพลตฟอร์มอยู่เสมอด้วย

“แพลตฟอร์ม Zplify นี้ พัฒนาขึ้น เพื่อ ‘องค์กรที่ประสงค์จะรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก’ โดยเฉพาะ ซึ่งแม้ผู้ใช้งานไม่ได้มีความรู้เชิงลึกด้านสิ่งแวดล้อม ก็สามารถใช้ได้ เพียงแค่เลือกกิจกรรมที่ทำ และใส่ปริมาณของกิจกรรม แพลตฟอร์มจะคำนวณออกมาเป็น CO2e ที่แบ่งตาม scope และ category ตาม GHG protocol และ ISO 14064 และออกรายงานตามมาตรฐานให้ได้เลย ในแพลตฟอร์ม ยังจะมีการอัพเดท ค่าทางสิ่งแวดล้อม รูปแบบรายงาน และข้อกำหนดต่างๆ ให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง”  

พบพร ยังเล่า Gideon One ว่า เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน Climate Tech อยู่ภายใต้เครือ Blockfint Group โดยจุดมุ่งหมายที่สำคัญ เพื่อต้องการเป็นตัวช่วยองค์กรที่ประสงค์จะรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และอีกส่วนคือ มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้า Net Zero ได้ ภายในปี 2050 หรือเร็วกว่านั้น หลังทุกวันนี้ คนไทยต่างได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเราทุกคนต้องช่วยกัน ‘ลดหรือหาทางดูดกลับก๊าซเรือนกระจก’ ที่สะสมมากเกินปกติ จนทำให้รังสีความร้อนถูกกักเก็บมากเกินไป

“กลุ่มธุรกิจและองค์กรก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่มีการปล่อยฯปริมาณมาก และเป็นกลุ่มแรกที่ภาครัฐต่างบังคับให้ต้องรายงานและทำแผนการลด เราจึงต้องการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยกลุ่มธุรกิจให้สามารถวัดการปล่อยฯ ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเมื่อรู้ว่าปล่อยเท่าใดแล้ว จึงจะสามารถลดได้ถูกที่” พบพร กล่าว

ถือเป็นสตาร์ตอัพ อีกหนึ่งบริษัท ที่ประสบความสำเร็จในการช่วยตอบโจทย์โลกสิ่งแวดล้อม และโลกธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทายใหม่ด้าน ‘สิ่งแวดล้อมแห่งอนาคต’ ได้เป็นอย่างดี คาดว่า จะเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เพราะการออกสู่ตลาดของ Zplify เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2566 ก็มีผู้ใช้งานเกือบ 20 องค์กรแล้ว

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเร่งให้เกิด Climate Action มากขึ้น ‘พบพร’ จึงบอกว่า จะทำการปรับโมเดลในแพลตฟอร์ม Zplify โดยให้เพิ่ม Version ที่ใช้งานได้ฟรี ซึ่งพอเพียงที่จะให้องค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนใช้งานจนสามารถจัดทำ CFO และออกรายงานตามมาตรฐาน TGO ได้ ขณะที่ ‘ก้าวต่อไป’ ยังจะพัฒนาหา Features ซึ่งเป็นที่ต้องการและช่วยให้ทุกภาคส่วนบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อีก

นี่แหละ สตาร์ตอัพคุณค่า พัฒนาแพลตฟอร์มตัวช่วย เพื่อก้าวใหม่ของสิ่งแวดล้อมไทย และอนาคตการค้าโลกของผู้ประกอบการและธุรกิจไทย

ช่องทางการติดต่อ 

Gideon One: https://www.facebook.com/GideonOneThailand

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)